ผลบอลออนไลน์ 24 ชม. อัพเดตตลอด สกู๊ปบอล

ลิเวอร์พูล กลับคืนสู่ฟอร์มโหดอีกครั้งหลังฟอร์มฝืดในแมตช์บุกเสมอ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 0-0 เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยในเกมล่าสุด "หงส์แดง" เดินหน้ายิงแหลกแหกด่านใส่ วัตฟอร์ด 5-0

ไฮไฟว์ ! เจาะ 6 ประเด็น ลิเวอร์พูล คืนฟอร์มเทพขยี้ วัตฟอร์ด ยับไม่นับญาติ
arrow_drop_down

ไฮไฟว์ ! เจาะ 6 ประเด็น ลิเวอร์พูล คืนฟอร์มเทพขยี้ วัตฟอร์ด ยับไม่นับญาติ

ลิเวอร์พูล กลับคืนสู่ฟอร์มโหดอีกครั้งหลังฟอร์มฝืดในแมตช์บุกเสมอ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 0-0 เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยในเกมล่าสุด "หงส์แดง" เดินหน้ายิงแหลกแหกด่านใส่ วัตฟอร์ด 5-0 ต่อหน้าสาวก "เดอะ ค็อป" ที่สนามแอนฟิลด์ เกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

 ซาดิโอ มาเน่ กับ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ โชว์ของซัดคนละสองประตู ขณะที่ ดิว็อค โอริกี้ ก็ไม่ปล่อยโอกาสทองในการได้ลงเล่นตัวจริงหลุดลอยไป เมื่อมีส่วนตะบันซัด 1 ประตู ขณะที่ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แสดงให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้เห็นแล้วว่าทีมไม่ควรขาดเขา หลังมีส่วนแอสซิสต์ถึง 3 ลูกให้ทีม

    ขณะที่สามประสานแดนกลางได้แก่ ฟาบินโญ่, จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม และ เจมส์ มิลเนอร์ ทำให้สาวก "เดอะ ค็อป" แฮปปี้สุด เพราะพวกเขาคุมเกมแดนกลางได้หมด และนั่นเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญที่นำไปสู่การเก็บ 3 คะแนนที่ต้องการ และทำให้ทีมยังคงนำจ่าฝูง โดยมี แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ไล่บี้หายใจรดต้นคอ

 1. มาเน่ โชว์ของ

    สามประสาน "หินเหล็กไฟ" (เอสเอ็มเอฟ -SMF) ต้องตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากเสียงวิจารณ์จากทั่วทุกสารทิศเนื่องจากฟอร์มการเล่นที่ฝืดมากๆ และเหมือนจะโดนจับทางได้ โดยเฉพาะในเกม "แดงเดือด" เสมอ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แบบไร้สกอร์ ทั้ง 3 คนแทบไม่มีโอกาสยิงประตู

    อย่างไรก็ตามแมตช์ล่าสุดกับ วัตฟอร์ด แม้ไม่มี โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ แต่พวกเขามี มาเน่ ที่แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจด้วยการระเบิดฟอร์มสุดยอดตะบันสองประตูนำ "หงส์แดง" เปิดบ้านไล่ทุบ วัตฟอร์ด สบายเกือก 5-0 ต้องบอกว่านี่คือฟอร์มการเล่นที่ดีที่สุดของ ดาวเตะเซเนกัล นับตั้งแต่เข้าสู่ปี 2019 

   ประตูแรกซึ่งเป็นประตูปลดล็อกให้ "เดอะ เร้ดส์" เป็นการแสดงให้เห็นถึงทักษะของ มาเน่ ที่ใช้หัวได้ดีไม่แพ้เท้า แต่ก็ต้องขอบคุณ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่เปิดบอลทางกราบอย่างแม่นยำ หลังจากนั้น มาเน่ ยังโชว์หล่อด้วยการตอกส้นระยะ 15 หลาช่วยให้ต้นสังกัดนำห่าง 2-0 ตั้งแต่ครึ่งแรก 

    ส่วนครึ่งหลัง มาเน่ ยังคงสร้างความปั่นป่วนใส่แนวรับของ วัตฟอร์ด ได้ตลอด ฉะนั้นแม้ว่าบางครั้ง 3 ประสานจะฟอร์มไม่ร้อนแรง หรืออาจจะลงไม่ครบองค์ แต่กระนั้น อดีตดาวเตะเซาธ์แฮมป์ตัน ยังคงฝากผีฝากไข้ได้ในยามคับขัน เฉกเช่นเกมทุบแตนเละคาแอนฟิลด์ 

2. ตัวจริงมีเซอร์ไพรส์ 

    เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมชาวเยอรมัน เลือก 11 ตัวจริงค่อนข้างน่าแปลกใจพอสมควรสำหรับสาวก "เดอะ ค็อป" ลองคิดดูใครจะไปเชื่อว่า ดิว็อค โอริกี้ จะได้ลงเล่นตัวจริงในเกมนี้แทน ฟีร์มีโน่ ที่มีปัญหาบาดเจ็บ เพราะจริงๆ แล้ว พวกเขายังมี เซอร์ดาน ชากีรี่ กับ แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ ที่น่าจะได้ลงสนามมากกว่า

    ยังไม่หมดแค่นั้นเพราะ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน หลุดตัวจริงซึ่งทำให้แฟนบอล "หงส์แดง" ยิ่งงงเป็นไก่ตาแตก โดยหลายคนมองว่าอาจเป็นผลมาจากพฤติกรรมของ "เฮนโด้" ตอนที่โดนเปลี่ยนตัวออกในเกม "แดงเดือด" อย่างไรก็ตามกรณีแบบนี้ไม่เกี่ยวกันแน่นอน เพราะคนสไตล์ คล็อปป์ เมื่อเคลียร์ทุกอย่างแล้ว ไม่มีทางจะนำกลับมาคิดเล็กคิดน้อยแน่นอน

แน่นอนว่า กุนซือเลือดด๊อยท์ช ตัดสินใจส่ง เจมส์ มิลเนอร์ ลงเล่นผนึกกำลังกับ ฟาบินโญ่ และ จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม  แถมทำผลงานได้เข้าขากันสุดๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อเกมขาดแล้ว คล็อปป์ เลือกที่จะส่ง เฮนเดอร์สัน ลงไปแทน มิลเนอร์ และเจ้าตัวก็ทำหน้าที่คุมเกมได้ดี

3. โอริกี้ดูดีมีอนาคต

   จากการที่ ฟีร์มีโน่ มีปัญหาบาดเจ็บ ทำให้ ดิว็อค โอริกี้ ได้รับโอกาสทองฝังเพชรลงสนามในเกมนี้ แน่นอนว่าหากถามสาวก "เดอะ ค็อป" พวกเขาอยากเห็น สเตอร์ริดจ์ ลงทำหน้าที่แทน หัวหอกชาวบราซิเลียน มากกว่า แต่การเลือกนักเตะเป็นสิทธิ์ของ คล็อปป์ และเขาเลือก ดาวยิงเลือดเบลเยียม

    แน่นอว่าฟอร์มของ โอริกี้ คงเทียบอะไรไม่ได้เลยกับ ฟีร์มีโน่ แต่เรื่องความทุ่มเทในการเล่นต้องบอกว่าเกินร้อย และสิ่งนี้ทำให้แฟนบอลในแอนฟิลด์ประทับใจมากๆ และพยายามที่จะส่งเสียงเชียร์เขาอย่างเต็มที่ ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งนี้ถือเป็นแรงกระตุ้นและกำลังใจชั้นดีสำหรับนักเตะ

   จากความเชื่อใจทั้งของกุนซือและแฟนบอล โอริกี้ จัดการโชว์ของซะเลยเมื่อแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นนักเตะที่เต็มไปด้วยทักษะและคู่ควรที่ได้ลงตัวจริงในเกมนี้ เมื่อรับบอลจาก แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ก่อนจะลากเลื้อยเข้ามาในจุดสังหารและตะบันเต็มข้อบอลพุ่งเสียบเสาอย่างงดงาม ช่วยทีมนำห่าง 3-0 

    ฉะนั้นจากฟอร์มการเล่นของนักเตะ และการเลือกทีมของ คล็อปป์ แสดงให้เห็นว่า โอริกี้ ยังมีอนาคตกับทีม สวนทางกับ สเตอร์ริดจ์ ที่อาจจะต้องโบกมือลาถิ่นแอนฟิลด์เมื่อจบฤดูกาลนี้ แต่กระนั้น ดาวเตะวัย 23 ปี คงต้องทำใจที่จะเป็นเพียงยางอะไหร่ของ สามประสาน "เอสเอ็มเอฟ" เหมือนเดิม 

4. เทรนท์ ฟอร์มแรงเกินห้ามใจ

    เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แสดงให้ทุกๆ คนได้เห็นแล้วว่า ลิเวอร์พูล โชว์ฟอร์มได้เฉิดฉายในวันนี้มาจากผลงานของเขาที่เล่นได้อย่างสุดยอดในตำแหน่งแบ็กขวา

    คล็อปป์ ดร็อปเจ้าหนูเทรนท์ ในเกม "แดงเดือด" เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่สำหรับเกมล่าสุด ดาวเตะวัย 20 ปี แสดงให้เห็นแล้วว่าทีมจำเป็นต้องมีเขาในการช่วงเติมเกมบุกทางฝั่งขวา และนี่คือสิ่งที่ "เดอะ เร้ดส์" ขาดหายไปในแมตช์บุกเสมอ แมนฯ ยูไนเต็ด แบบไร้สกอร์

    อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แสดงให้เห็นถึงสภาพความฟิตที่สมบูรณ์สุดๆ คอยวิ่งเติมเกมบุกแบบไม่มีเหน็ดเหนื่อย แถมยังเปิดบอลได้อย่างแม่นยำในจังหวะที่ มาเน่ ทำประตูให้ทีมขึ้นนำ จากนั้นก็ยังเปิดบอลยาวให้ หัวหอกเซเนกัล ได้โชว์ทักษะทำประตูที่สองด้วย 

    ยังไม่หมดแค่นั้นในช่วงครึ่งหลังเขาเปิดบอลสุดเฉียบคมให้ ฟาน ไดค์ ขึ้นโขกช่วยทีมนำห่าง 4-0 ผลงานการเปิดบอลที่แม่นยำราวจับวางแบบนี้ทำให้หลายคนนึกถึง เดวิด เบ็คแฮม ตำนานสตาร์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และทีมชาติอังกฤษ ฉะนั้น เจ้าหนูเทรนท์เป็นหนึ่งในนักเตะสำคัญที่จะนำต้นสังกัดประสบความสำเร็จ
    
5. ฟาน ไดค์ แกร่งทั้งรับ และรุก 

     การที่ ลิเวอร์พูล มีลุ้นแชมป์จนถึงตอนนี้ส่วนหนึ่งมาจากผลงานของ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ที่ช่วยเข้ามาขันน็อตเกมรับของ "หงส์แดง" จนแน่น แม้ว่าเขาจะยังหาคู่หูเซนเตอร์แบ็กที่ต้องลงเล่นเป็นประจำยังไม่ได้ แต่ใครก็ตามที่เล่นคู่กับ แข้งเลือดดัตช์ สามารถโชว์ฟอร์มได้ดีเสมอ 

    ฟาน ไดค์ มีส่วนสำคัญในการจัดการเกมรุกของ วัตฟอร์ด จนอยู่หมัด โดยเฉพาะการที่ "แตนอาละวาด" จะใช้มุกเปิดบอลยาวแต่งานนี้ ปราการหลังทีมชาติฮอลแลนด์ เก็บกินเรียบวุธ ขณะเดียวกันเจ้าตัวยังคุมพื้นที่ได้ดี ส่งผลให้บรรดานักเตะวัตฟอร์ด แทบจะไม่ได้หลุดไปสร้างปัญหาให้กับ อลีสซง เบ็คเกอร์ มากนัก

  ด้านเกมรุก เจ้าตัวก็มักจะช่วยขึ้นมากดดันเกมรับคู่แข่งทุกครั้งที่ได้ลูกฟรีคิกหรือเตะมุม และเกมนี้ ฟาน ไดค์ แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาสามารถช่วยทำประตูได้ในยามที่ผู้เล่นเกมบุกของทีมฟอร์มตื้อ ด้วยรูปร่างสูงใหญ่แต่เต็มไปด้วยความเร็ว และยังมีจังหวะการโหม่งทำประตูที่ทั้งแรงและแม่นยำ จึงไม่แปลกเลยว่าทำไมเกมนี้เขาถึงมีชื่อทำ 2 ประตู

6. ตอบโต้แรงกดดันได้ดี

   เมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้ว การบุกเสมอ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แบบไร้สกอร์ ทำให้ทีมของกุนซือเจอร์เก้น คล็อปป์ ทำแต้มหลุดมือไป 2 คะแนน ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ "เดอะ เร้ดส์" ต้องแบกรับแรงกดดันอย่างมาก ในการที่จะต้องเปิดบ้านชนะ วัตฟอร์ด ให้ได้

    งานนี้แข้ง "หงส์แดง" ได้ตอบโต้แรงกดดันได้อย่างสุดเพอร์เฟกต์ด้วยการถล่ม วัตฟอร์ด ยับไม่นับญาติ แน่นอนว่าการยิงได้ถึง 5 ประตูนอกจากจะได้ 3 คะแนนแล้วยังมีผลต่อประตูได้เสียของทีมที่เพิ่มขึ้นและตอนนี้พวกเขาตาม แมนฯ ซิตี้ เพียงแค่ 6 ลูกเท่านั้น

     แน่นอนว่าด้วยสถานการณ์ที่มีแต้มหากกันเพียง 1 คะแนน สถานการณ์ในการลุ้นแชมป์ยังคงสูสี และเข้มข้น ดีไม่ดีเมื่อถึงเกมสุดท้าย มีความเป็นไปได้ที่ ลิเวอร์พูล กับ แมนฯ ซิตี้ อาจจะต้องวัดแชมป์กันที่ประตูได้เสีย ฉะนั้นการยิงได้เยอะและไม่เสียประตูเป็นสิ่งที่ "หงส์แดง" ต้องทำให้ได้ต่อไป

 

 

SHARE ON