หลังจากมีการคาดเดากันไปต่างๆ นานาเกี่ยวกับตำแหน่งผู้จัดการทีมของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่จะเข้ามากุมบังเหียนในช่วงต้นฤดูกาลหน้า ตอนนี้ทุกอย่างเคลียร์จัดชัดเจนเรียบร้อยแล้วว่า โอเล่ กุนนาร์ โซลชา คือคนที่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวงที่จะได้รับงานนี้เป็นการถาวร

หลังจากมีการคาดเดากันไปต่างๆ นานาเกี่ยวกับตำแหน่งผู้จัดการทีมของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่จะเข้ามากุมบังเหียนในช่วงต้นฤดูกาลหน้า ตอนนี้ทุกอย่างเคลียร์จัดชัดเจนเรียบร้อยแล้วว่า โอเล่ กุนนาร์ โซลชา คือคนที่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวงที่จะได้รับงานนี้เป็นการถาวร

โซลชา สร้างทีมให้กลับมาสู่ปรัชญาความเป็น "ปีศาจแดง" อีกครั้ง และนำแสงสว่างกับความสดใสคืนสู่ถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด หลังจากที่สโมสรตกอยู่ภายใต้มนต์ดำความมืดครึมในช่วงที่ เดวิด มอยส์, หลุยส์ ฟาน กัล และ โชเซ่ มูรินโญ่ ยึดบัลลังก์ผู้จัดการทีม

การได้ลุ้นอันดับท็อปโฟร์ และทะลุเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก พร้อมกับสถิตินำทีมชนะถึง 14 เกมจากทั้งหมด 19 นัดในทุกรายการ เป็นเครื่องหมายการันตีมันสมองของ "น้าลูกอม" ได้เป็นอย่างดี และนั่นเป็นเหตุผลที่บอร์ดบริหารยอมจ่ายเงินค่าเหนื่อย 7.5 ล้านปอนด์ (ราว 307.5 ล้านบาท) ต่อปีเพื่อตอบแทน โซลชา สำหรับการคุมทีมถาวร

 

1. รู้สึกดีที่มีโซลชา
    แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อยากได้กุนซือที่มีโปรไฟล์ดีๆ และประสบความสำเร็จ เพื่อมาแทนที่ มูรินโญ่ ซึ่งนำสไตล์การเล่น "พาร์ค เดอะ บัส" มาสู่ถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด จนทำให้นักเตะ และแฟนบอลกลายเป็นโรคซึมเศร้าเพราะสโมสรอันเป็นที่รักผลงานสาละวันเตี้ยลง

    ในเวลานั้น บอร์ดบริหารเลือกแต่งตั้ง โซลชา เข้ามาทำหน้าที่กุมบังเหียนขัดตามทัพ พร้อมกับสัญญาคุมทีมเพียงแค่จบฤดูกาลนี้เท่านั้น โดย "น้าลูกอม" มีประสบการณ์ในการคุมทีมในนอร์เวย์กับ โมลด์ และต่างแดนกับ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ เพียงแค่ไม่กี่เดือนก่อนโดนไล่ออกหลังนำทีมล้มเหลว

อย่างไรก็ตาม กุนซือชาวนอร์เวย์ สร้างผลงานดีมีคุณภาพเมื่อไม่แพ้ทีมใดเลยในช่วง 11 เกมแรกจากทุกรายการซึ่งเสมอแค่เกมเดียวเท่านั้น ก่อนจะแพ้ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เกมแรก รอบ 16 ทีมสุดท้าย แต่พวกเขาพลิกนรกกลับมาชนะได้ในเกมสอง และผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย

    ขณะที่ในเกมพรีเมียร์ลีกนั้น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แพ้แค่เกมเดียวเท่านั้น (แพ้ อาร์เซน่อล) นับตั้งแต่ โซลชา เข้ามากุมบังเหียน ฉะนั้นด้วยผลงานแบบนี้ บอร์ดบริหาร จึงตัดสินใจเป็นเอกฉันท์ที่มอบสัญญากุมทัพ "ปีศาจแดง" ให้กับเรา

 

2. แชมป์เยอะกว่า โปเช็ตติโน่  
    อาจจะไม่ค่อยยุติธรรมหากเปรียบเทียบเรื่องความสำเร็จสมัยที่ยังเป็นนักฟุตบอลอาชีพ โดย โซลชา เป็นหนึ่งในนักเตะที่อยู่ในชุดที่ดีที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ของ "ปีศาจแดง" พร้อมกับแชมป์ 15 รายการรวมทั้งแชมป์พรีเมียร์ลีก 6 สมัย และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 1 สมัย ภายใต้การกุมบังเหียนเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

ขณะที่เมาริซิโอ โปรเช็ตติโน่ เคยได้แชมป์สมัยเป็นนักเตะแค่ โกปา เดล เรย์ 2 สมัยร่วมกับ เอสปันญ่อล แต่หลังจากที่พวกเขาหันมาทำอาชีพผู้จัดการทีม โดย "พอช" ใช้เวลา 5 ปีในการสร้างชื่อในลีกสูงสุดเมืองผู้ดี ด้วยการกุมบังเหียน "นักบุญ" เซาธ์แฮมป์ตัน และ "ไก่เดือยทอง" ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์

    อย่างไรก็ตาม อดีตกองหลังทีมชาติอาร์เจนตินา ยังไม่เคยนำทีมคว้าแชมป์อะไรเลยนับตั้งแต่จับงานโค้ชเมื่อปี 2009 (เริ่มต้นกับ เอสปันญ่อล) สวนทางกับ "น้าลูกอม" ซึ่งเป็นอดีตกองหน้าซูเปอร์ซับ "ผีแดง" ได้ชูโทรฟี่แชมป์มาแล้ว 3 รายการใหญ่กับ โมลด์ (ความสำเร็จในลีกนอร์เวย์)

 

3. ไร้แรงกดดันในการนำทีมประสบความสำเร็จ
    โซลชา เริ่มต้นสร้างชื่อเสียงด้วยตัวเองในการจับงานผู้จัดการทีม แต่การที่เขาได้รับการแต่งตั้งให้คุม แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ได้เพิ่มความกดดันให้กับเขาเพราะ "น้าลูกอม" ไม่ใช่กุนซือระดับบิ๊กเนม ที่แฟนบอลคาดหวังว่าจะนำสโมสรคืนสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง

นายใหญ่ชาวนอร์เวย์ ได้รับโอกาสทองในช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะเขาเข้ามาทำให้ทีมที่กำลังเหี่ยวเฉาจากผลงานของ มูรินโญ่ ให้กลายเป็นทีมที่สดใสซาบซ่าหลังจากที่ได้รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ถือหางเสือยอดทีมแห่งถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด และทำให้ตอนนี้ "ผีแดง" มีลุ้นท็อปโฟร์ และทะลุเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย แชมเปี้ยนส์ ลีก

    เรื่องศิษย์เก่าได้ทำงานให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด นั้น ไรอัน กิ๊กส์ ก็เลยโชคดีที่ได้รับโอกาสนี้ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ สวนทางกับ โซลชา ที่ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนที่เหมาะสมลงตัวในการกอบกู้ "เร้ด เดวิลส์" ด้วยสไตล์การทำทีมที่เน้นเกมบุกแสนตื่นเต้นเร้าใจอีกครั้ง หลังห่างหายไปนานนับตั้งแต่ "เฟอร์กี้" เกษียณตัว    

 

4. เร้ด อาร์มี่ พร้อมหนุนหลัง  
    สาวก "เร้ด อาร์มี่" มากมายแทบจะเหี่ยวเฉากับแท็กติคที่ มูรินโญ่ นำมาใช้กับทีม ส่วน โซลชา ทำให้พวกเขากลับมาคึกคักอีกครั้งด้วยการนำสไตล์การเล่นที่เน้นเกมบุก และเดินหน้าฆ่าไม่เลี้ยง โดยดึงศักยภาพที่ดีที่สุดของบรรดาลูกทีมออกมาได้เต็มที่

ตอนนี้ แมนฯ ยูฯ กลับมาเป็นหนึ่งในสโมสรที่เน้นเกมรุกที่สุดแสนน่าตื่นเต้นในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ รวมไปถึงบรรดาผู้เล่นชั้นนำของทีมอย่าง มาร์คัส แรชฟอร์ด กับ ปอล ป็อกบา ที่กลับมาระเบิดฟอร์มสุดยอด แถมยังมีศักยภาพในการพัฒนาฟอร์มการเล่นได้อีกเยอะซะด้วย

    จะว่าไปแล้วในฤดูกาลนี้มีหลายคนขีดฆ่าชื่อ แมนฯ ยูไนเต็ด ออกจากการลุ้นทุกสิ่งทุกอย่างภายใต้การบริหารงานของ "เฮียมู แต่เมื่อ โซลชา ได้รับหน้าที่เข้ามากอบกู้ทีม ตอนนี้พวกเขามีลุ้นทั้งอันดับท็อปโฟร์ และเข้าไปเล่นในรอบก่อนรองชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก

 

5. จัดวางโครงสร้างสโมสรชัดเจน
    นับตั้งแต่ที่ โซลชา ถูกดึงตัวมาทำงานให้กับสโมสรอันเป็นที่รัก ทุกๆ อย่างโฟกัสไปที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เกี่ยวกับฟอร์มการเล่นในสนามที่มีพัฒนาการอย่างยอดเยี่ยม และความสัมพันธ์รวมทั้งการกระตุ้นนักเตะเวลาที่อยู่ภายในห้องแต่งตัวด้วย

นอกจากนี้ "น้าลูกอม" ยังได้มีการพูดคุยกับ เอ็ด วู้ดเวิร์ด ประธานบริหารสโมสรเกี่ยวกับบทบาทและเป้าหมายของเขาอย่างชัดเจน นั่นทำให้เรื่องที่ "ผีแดง" จะแต่งตั้งผู้อำนวยการกีฬา เงียบหายในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าทีมอยู่ในสถานการณ์ที่สมบูรณ์แบบ โดยมีการจัดวางโครงสร้างเพื่อสนับสนุนการทำงานของกุนซือคนใหม่ใบหน้าทารก

    สำหรับตอนนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กำลังมองหาใครสักคนที่มีมันสมองในด้านฟุตบอลเพื่อที่จะได้เข้ามาทำงานอย่างใกล้ชิดกับ อดีตกองหน้าซูเปอร์ซับชาวนอร์เวย์ ในการช่วย "ปีศาจแดง" กลับคืนสู่การเป็นยอดทีมในวงการลูกหนังเมืองผู้ดี และในยุโรป

 6.  เข้าใจทุกอย่างของแมนฯ ยูไนเต็ด
    มันยากจะเชื่อว่าอดีตกองหน้าที่มาจากประเทศในแถวสแกนดิเนเวีย คือคำตอบในการแก้ปัญหาให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เป็นคนที่เข้าใจชีวิตและรู้ทุกซอกทุกมุมของสโมสรได้ดียิ่งกว่าผู้จัดการทีมหลายๆ คนที่มีข่าวกับ "ปีศาจแดง"

 

โซลชา  ใช้เวลา 11 ปีในการสร้างชื่อกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ก่อนที่จะแขวนสตั๊ดในปี 2007 ด้วยสถิติลงสนามให้กับ "เร้ด เดวิลส์" จำนวน 364 เกมพร้อมกับส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่าย 127 ประตู และทำ 31 แอสซิสต์ตลอดทุกรายการที่ลงเล่นให้สโมสรแห่งนี้

    ต้องยอมรับว่ามันน่าเหลือเชื่อมากๆ ที่ "น้าลูกอม" ประสบความสำเร็จกับ แมนฯ ยูฯ ตอนที่เขาถูกแต่งตั้งให้คุมทีมชั่วคราว แต่ตอนนี้ โซลชา ได้รับสัญญาถาวร 3 ปีแล้ว และอาจจะเป็นไปได้ที่เขาจะคืนความสุขให้กับแฟนบอลของสโมสรทั่วโลก รวมทั้งนำความสำเร็จสู่  "เธียเตอร์ ออฟ ดรีม" (โรงละครแห่งความฝัน) อีกครั้ง