ทีมของกุนซือเป๊ป กวาร์ดิโอล่า มีสไตล์การเล่นที่สวยงาม และเพลินตาโดยพวกเขาจะเน้นการผ่านบอลไปทั่วสนาม และครองเกมได้ตลอด จากนั้นก็หาช่องเพื่อเจาะเข้าไปทำประตู โดยสิ่งที่น่าชื่นชมมากๆ สำหรับแมนฯ ซิตี้ ก็คือพวกเขาไม่ได้ใช้เงินมากนักในช่วงตลาดพ่อค้าแข้ง แต่ทีมก็ยังคงมีสมดุลและเต็มไปด้วยศักยภาพ
อย่างไรก็ตาม แมนฯ ซิตี้ ก็มีผลงานสะดุดอยู่บ้างในเกมที่แพ้ เชลซี กับ คริสตัล พาเลซ ก่อนที่ในช่วงคริสต์มาสจะแพ้อีกเกมกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ช่วงบ็อกซิ่ง เดย์ แน่นอนว่าการทำพลาดในเกมเหล่านี้ส่งผลให้พวกเขาต้องตกเป็นรอง "เดอะ เร้ดส์"
กระนั้น เป๊ป สามารถกระตุ้นลูกทีมให้สู้ต่อไป และทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด จากนั้นก็ลองดู ลิเวอร์พูล ทำพลาดซึ่งก็เป็นไปได้อย่างที่ต้องการ ทำให้เวลานี้พวกเขาสามารถทำแต้มเท่ากับ "เดอะ เร้ดส์" แต่ได้ขึ้นเป็นจ่าฝูงเนื่องจากผลต่างประตูได้เสียดีกว่า
1. เกมบุกเฉียบคมที่สุดในลีก
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นทีมที่มีเกมบุกร้อนแรงที่สุดในพรีเมียร์ลีก โดยแนวรุกของพวกเขาเต็มไปด้วยความสามารถและศักยภาพในการทำลายล้างแนวรับของคู่แข่งทุกทีมในลีกเมืองผู้ดี พวกเขามีโอกาสยิงประตูเข้าเป้าถึง 174 ครั้งซึ่งสูงที่สุดในลีก แถมยังเป็นทีมที่ยิงประตูได้มากที่สุดในยุโรป ฤดูกาลนี้ด้วย
ทัพ "เรือใบสีฟ้า" มีนักเตะเกมรุกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ทั้งในสนาม และในซุ้มม้านั่งสำรอง โดยมีแข้งอย่าง เซร์คิโอ อเกวโร่, ราฮีม สเตอร์ลิง, เลรอย ซาเน่ และ เควิน เดอ บรอย์น ที่มักจะสร้างความปั่นป่วนให้กับคู่แข่ง แถมยังมี ดาบิด ซิลบา ที่ช่วยเติมเกมรุกให้กับทีมและสร้างโอกาสให้กองหน้าตะบันตาข่ายได้ตลอด
ยังไม่หมดแค่นั้นเพราะหากทีมตัวจริงมีอาการตื้อไม่สามารถเจาะเกมรับคู่แข่งได้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า สามารถส่งนักเตะตัวสำรองลงไปเปลี่ยนเกมได้สบายๆ เพราะเขามีขุมกำลังชั้นดีอย่าง ริยาด มาห์เรซ กับ กาเบรียล เชซุส รวมไปถึง อิลคาย กุนโดกัน ที่พร้อมลงสนามและโชว์ฟอร์มสุดยอดออกมาได้ทันที นี่อาจจะเป็นจุดสำคัญในการลุ้นแชมป์ลีกซีซั่นนี้ก็เป็นได้
2. ประสบการณ์คว้าแชมป์
บรรดาลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ถือว่าได้เปรียบอย่างมากเนื่องจากคู่แข่งของพวกเขายังขาดประสบการณ์ในการลุ้นแชมป์ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า แมนฯ ซิตี้ เคยคว้าแชมป์ลีกมาแล้ว ในขณะที่ ลิเวอร์พูล ยังไม่เคยได้สัมผัสความสำเร็จในลีกสูงสุดเมืองผู้ดีนับตั้งแต่เปลี่ยนชื่อเป็น "พรีเมียร์ลีก"
จากประสบการณ์ที่ผ่านมาแฟนบอลคงเห็นแล้วว่าบรรดาทีมที่นำจ่าฝูงลีกมักจะต้องเจอกับแรงกดดันอย่างหนัก และอาจจะพลาดท่าเสียอาการได้ ในกรณีนี้ ลิเวอร์พูล แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ตอนนี้พวกเขากำลังตกเป็นเหยื่อของแรงกดดันที่กำลังถาโถมเข้าใส่จนฟอร์มสะดุด
แมนฯ ซิตี้ พิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งว่าพวกเขาไม่เคยยอมแพ้จนกว่าจะถึงวันสุดท้ายของเกมลีก ตัวอย่างที่ดีเยี่ยมที่แสดงให้เห็นถึงจุดนี้ก็คือตอนที่พวกเขาคว้าแชมป์ลีกครั้งแรกเมื่อ 8 ปีก่อน "เรือใบสีฟ้า" ไม่มีอาการประหม่าในช่วงนาทีสุดท้ายของเกมสุดท้ายประจำซีซั่น ก่อนที่ "กุน" จะตะบันประตู นำแชมป์สู่ถิ่นเอติฮัด สเตเดี้ยม
แชมป์ลีกจะต้องมีความคงเส้นคงวาตลอดช่วงการแข่งขันที่ยาวนาน และต้องมีแรงกระตุ้นอยู่เสมอ แมนฯ ซิตี้ สามารถฟื้นตัวและกลับมาสู่เส้นทางของตัวเองโดยไม่เสียเวลาที่จะไปวิตกกับเกมที่แพ้ ขณะที่ ลิเวอร์พูล ตอนนี้พวกเขาต้องเจอกับบททดสอบที่สุดหินมากๆ เจอร์เก้น คล็อปป์ แสดงให้เห็นแล้วว่าต้องเจอกับปัญหาในการรับมือแรงกดดันจากสื่อ และมักตบะแตกทุกครั้งที่โดนยิงคำถามเรื่องนี้
3. เป๊ป สมองเพชร
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีผู้จัดการทีมที่เก่งที่สุดในโลกอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ซึ่งเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ในเรื่องฟุตบอลรวมทั้งเป็นผู้ปฏิวัติวงการลูกหนังด้วยสไตล์การเล่นที่สวยงาม แต่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพในการทำลายล้างเกมรับของคู่แข่งให้ย่อยยับอับปาง
ทุกทีมที่ เป๊ป เข้าไปคุมประสบความสำเร็จมากมายอย่าง บาร์เซโลน่า และ บาเยิร์น มิวนิค เขายกระดับการเล่นฟุตบอลให้กับสโมสรที่เคยกุมบังเหียน และยังสร้างสถิติมากมายทั้งใน ลา ลีกา และ บุนเดสลีกา รวมไปถึงเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ด้วย
แม้ในฤดูกาลแรกที่ได้ลิ้มลองเกมลีกผู้ดี เป๊ป จะไร้โทรฟี่แชมป์ซึ่งเป็นประสบการผิดหวังครั้งแรกในอาชีพกุนซือของเขาก็ตาม อย่างไรก็ตามเขามีขุมกำลังคนหนุ่ม และเต็มไปด้วยพรสวรรค์ ซึ่งนั่นช่วยให้ทีมค่อยๆ พัฒนาฟอร์มการเล่น ด้วยเหตุนี้ในซีซั่นที่สองของเขา แมนฯ ซิตี้ ก็คว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จ
สำหรับตอนนี้ แมนฯ ซิตี้ กลับมาสู่เส้นทางการลุ้นแชมป์ได้หลังจากที่เอาชนะ ลิเวอร์พูล ได้ในแมตช์ที่เอติฮัด สเตเดี้ยม แม้ว่าทีมจะสะดุดไปบ้าง แต่ก็ยังมีสมาธิในการเล่นเกมของตัวเอง และรอจังหวะที่ "หงส์แดง" สะดุดจากนั้นพวกเขาก็ฉกฉวยโอกาส จนตอนนี้สามารถทำแต้มเท่ากับลิเวอร์พูลแล้ว เพียงแค่แข่งมากกว่า 1 แมตช์
ฉะนั้น หากวัดเรื่องผลงานของ กวาร์ดิโอล่า กับ คล็อปป์ แล้ว ตอนนี้หลายๆ คนคงเชื่อมั่นว่า กุนซือชาวสแปนิช มีศักยภาพที่สามารถนำ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กลายเป็นสโมสรที่ผงาดป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีกได้เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี