ผลบอลออนไลน์ 24 ชม. อัพเดตตลอด สกู๊ปบอล

ลิเวอร์พูล เป็นทีมจากอังกฤษทีมสุดท้ายที่ได้ทะลุเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศ ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลนี้ หลังทำภารกิจสำคัญบุกชนะ บาเยิร์น มิวนิค 3-1 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย นัด 2 เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ส่งผลให้ "หงส์แดง" เข้ารอบด้วยสกอร์รวม 2 นัด 3-1

หงส์แดงทะยานยุโรป ! 5 ประเด็นเด็ด ลิเวอร์พูล ฟอร์มหรูทุบ บาเยิร์น
arrow_drop_down

หงส์แดงทะยานยุโรป ! 5 ประเด็นเด็ด ลิเวอร์พูล ฟอร์มหรูทุบ บาเยิร์น

ลิเวอร์พูล เป็นทีมจากอังกฤษทีมสุดท้ายที่ได้ทะลุเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศ ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลนี้ หลังทำภารกิจสำคัญบุกชนะ บาเยิร์น มิวนิค 3-1 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย นัด 2 เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ส่งผลให้ "หงส์แดง" เข้ารอบด้วยสกอร์รวม 2 นัด 3-1

ในเกมแรก เจอร์เก้น คล็อปป์ และลูกทีม ทำผลงานได้ตามเป้าด้วยการพยายามเล่นเกมบุก และไม่เสียประตู ซึ่งพวกเขาก็ทำเสร็จเมื่อเสมอ "เสือใต้" แบบไร้สกอร์ ที่แอนฟิลด์ ทำให้ในเกม 2 ขอแค่เสมอแบบมีประตูก็ทะลุเข้ารอบต่อไปด้วยกฎประตูทีมเยือน หรือ "อะเวย์โกล"

    อย่างไรก็ตาม คล็อปป์ ไม่ได้มาเยือนนครมิวนิคด้วยการเล่นแบบตั้งรับ เพราะพวกเขาเปิดเกมบุกสู้ และได้ 3 ประตูจาก ซาดิโอ มาเน่ (2 ลูก) และ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ขณะที่เจ้าบ้านได้ประตูจากการทำเข้าประตูตัวเองของ โฌเอล มาติป ในช่วงครึ่งแรก 

    สำหรับการผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายของ "หงส์แดง" ทำให้ทีมจากเมืองผู้ดีเข้าไปถึง 4 สโมสร ได้แก่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ส่วนจะเจอกับทีมบ้านเดียวกันหรือจะดวลกับสโมสรไหนเดี๋ยววันศุกร์ที่ 15 มี.ค.นี้จะได้รู้กัน 

1. มาเน่ อีกแล้ว 

โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ได้รับการเชิดชูในฐานะ คิง ออฟ อียิปต์ แต่ตอนนี้ดูเหมือน ซาดิโอ มาเน่ จะได้รับการยกย่องไม่ต่างกันแล้ว หลังจากที่เขามีส่วนช่วยทีมในการเล่นเกมรุกทั้งขยับออกขวา ไปซ้าย และย้ายมาเป็นหน้าเป้า ไม่ว่าตำแหน่งไหน ดาวเตะชาวเซเนกัล ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมจริงๆ

    จังหวะที่ "หงส์แดง" ได้ประตูแรกต้องยอมรับว่าเกิดจากมันสมอง และความสามารถเฉพาะตัวล้วนๆ ของ มาเน่ เมื่อเขาได้บอลในเขตโทษก่อนจะพลิกหลอก มานูเอล นอยเออร์ ชนิดที่โกล์ชาวเยอรมัน หลงทิศหลงทาง จากนั้นก็โชว์สกิลชิพบอลหายเข้าไปในประตู

    ขณะเดียวกันในครึ่งหลัง มาเน่ ยังสามารถป่วนเกมรับ "เสือใต้" ได้ตลอด ที่สำคัญการประสานงานกันของสามแข้ง "หินเหล็กไฟ" (SMF) ทำให้ "เดอะ เร้ดส์" สร้างโอกาสในการทำประตูได้อยู่เรื่อยๆ ก่อนที่ ซาลาห์ จะเปิดบอลไซด์ก้อยให้ อดีตดาวเตะ เซาธ์แฮมป์ตัน โขกเข้าประตูเป็นการตอกฝาโลงบาเยิร์น

    ตอนนี้ต้องยอมรับว่า มาเน่ กลายเป็นผู้เล่นสำคัญที่ ลิเวอร์พูล ขาดไม่ได้จริงๆ โดยเฉพาะในยามที่ ซาลาห์ กับ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ฟอร์มฝืด โดยตอนนี้เจ้าตัวซัดให้กับต้นสังกัดไปแล้ว 19 ประตูจากการเล่นทุกรายการในฤดูกาลนี้ ลองคิดดูซิ หาก ซาลาห์ กลับมามั่นใจเหมือนเดิม กอปรกับ มาเน่ ฟอร์มขึ้นหม้อ งานนี้การลุ้นแชมป์ลีก และถ้วยใบโตยุโรป คงน่าสนใจไม่ใช่น้อย 

2. กองกลางของ คล็อปป์

คล็อปป์ ไม่มีกองกลางที่ดีที่สุดเอาไว้ใช้งาน โดยที่มีอยู่ในทีมก็เป็นมิดฟิลด์ระดับป่านกลางอย่าง จินี่ ไวจ์นัลดุม, อดัม ลัลลาน่า, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, เจมส์ มิลเนอร์, ฟาบินโญ่ และ นาบี เกอิต้า ซึ่งทั้งหมดนี้โชว์ฟอร์มได้ดีเยี่ยมในฤดูกาลนี้ ส่วน อเล็กซ์ อ๊อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน อยู่ในช่วงเรียกความฟิตหลังหายจากอาการบาดเจ็บ

    ในเกมนี้การที่ กุนซือด๊อยท์ช เลือกจับ "เฮนโด้" ยืนร่วมกับ มิลเนอร์ และ ไวจ์นัลดุม ดูเหมือนการใช้งานทั้งสามคนทำให้แผงกลางของ "เดอะ เร้ดส์" อ่อนยวบเมื่อต้องปะทะกับแผงมิดฟิลด์ทักษะสูงอย่าง ติอาโก้ อัลกันตาร่า และ ฆาบี้ มาร์ติเนซ     

    อย่างไรก็ตามหนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญก็คือ เฮนเดอร์สัน ได้รับบาดเจ็บในช่วงต้นเกมทำให้ คล็อปป์ จำเป็นต้องเปลี่ยนแผนด้วยการส่ง ฟาบินโญ่ ลงสนามและงานนี้กลายเป็นว่า ดาวเตะบราซิเลียน สามารถช่วยทำให้กองกลางของทีมแข็งแกร่งขึ้น และเป็นผู้เล่นมิดฟิลด์ที่โชว์ฟอร์มดีสุดของทีมแมตช์นี้ 

3. ฟาน ไดค์ เด่นทั้งรับและรุก

เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ทำผลงานได้ดีเยี่ยมมาตลอดฤดูกาลนี้ก่อนที่ทีมจะเยือน บาเยิร์น มิวนิค ในเกมเมื่อวันพุธ โดยเขาเป็นนักเตะที่มีอิทธิพลอย่างมากไม่ใช่แค่กับ ลิเวอร์พูล เท่านั้น แต่ยังรวมถึงในยุโรปด้วย และเขาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ายังคงเป็นนักเตะสำคัญของทีมอีกครั้ง

    ผลงานเกมรับของ ฟาน ไดค์ ไม่ต้องพูดกันเยอะเพราะแกร่งดั่งภูผาหิน โดยเขามักจะเอาชนะในการเข้าเสียบสกัดคู่แข่งได้เสมอ ที่สำคัญเจ้าตัวไม่ได้รู้สึกหวาดหวั่นในการปะทะกับ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงเป็นเซนเตอร์แบ็กที่เก่งที่สุดในโลกเวลานี้

    ฟอร์มในเกมรับเชื่อขนมกินได้ ส่วนฟอร์มในเกมรุกต้องบอกว่า ดาวเตะเลือดดัตช์ มีบทบาทสำคัญมากๆ ในเกมล่าสุดนี้ ทุกๆ คนคงเห็นได้ถึงพลังในการโหม่งที่ไม่มีใครจะหยุดยั้งได้แม้แต่ นอยเออร์ ที่ว่ากันว่าเหนียวนักเหนียวหนายังหยุดไม่อยู่ทำให้ "หงส์แดง" นำ 2-1

    กองหลังวัย 27 ปี พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาเป็นนักเตะแนวรับสมัยใหม่เหมือน ซามี่ ฮูเปีย ดีไม่ดีตอนนี้น่าจะเหนือกว่าตรงจุดที่ ฟาน ไดค์ สามารถพาบอลเข้าไปในแดนของคู่แข่งเพื่อสร้างโอกาสให้เพื่อนร่วมทีม หรือการวางบอลที่แม่นยำอย่างในจังหวะเปิดบอลยาวจากแดนตัวเองให้ มาเน่ หลุดเข้าไปยิงประตูขึ้นนำ 

    สำหรับตอนนี้ต้องยอมรับว่า ฟาน ไดค์ คือผู้เล่นสำคัญมากๆ ตลอดช่วง 14 เดือนที่ผ่านมานับตั้งแต่ที่เขาย้ายจาก เซาธ์แฮมป์ตัน มาอยู่ในถิ่นแอนฟิลด์ 

4. ใบเหลือง โรเบิร์ตสัน ข้อผิดพลาดเดียวของทีม

เกมนี้ ลิเวอร์พูล สามารถต่อกรกับ บาเยิร์น ที่อุดมไปด้วยนักเตะชั้นยอดมากมาย โดยแมตช์นี้พวกเขาสามารถสกัดกันเกมรุกของ "เสือใต้" ได้อยู่หมัด แต่กระนั้นเรื่องเดียวที่ถือเป็นข้อลบของ "เดอะ เร้ดส์" ในแมตช์นี้ก็คือการที่ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ถูกใบเหลือง

    สำหรับใบเหลืองที่ ดาวเตะเลือดสกอตต์ ได้รับเกิดขึ้นในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ซึ่งต้องบอกว่าแมตช์นี้ ลิเวอร์พูล เกือบจะจบเกมด้วยค่ำคืนที่แสนเพอร์เฟกต์ หากไม่เกิดเหตุ โรเบิร์ตสัน โดนใบเหลือง เพราะนั้นหมายความว่าเขาจะพลาดลงสนามในเกมแรก รอบ 8 ทีมสุดท้าย 

    ฟอร์มของ โรเบิร์ตสัน โดดเด่นมาตลอดทั้งเกม แต่อาจจะเป็นเพราะเจ้าตัวเสียสมาธิหรือเปล่าก็ไม่ทราบดันเข้าสกัด แซร์จ นาบรี้ จากด้านหลังส่งผลให้โดนใบเหลืองไปแบบช่วยไม่ได้ แน่นอนว่าตอนนี้ คล็อปป์ ต้องคิดหนักว่าจะหาใครมาช่วยเล่นแบ็กซ้าย เพราะการขาด โรเบิร์ตสัน ย่อมส่งผลกระทบต่อเกมรุก และเกมรับ "หงส์แดง" แน่นอน

5. แชมเปี้ยนส์ ลีก หรือ พรีเมียร์ลีก ? หรือทั้งสองรายการ ?

 

ถ้าหาก แกรี่ เนวิลล์ เป็นผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล งานนี้ "เดอะ เร้ดส์" คงพ่ายในถิ่นอัลลิอันซ์ อารีน่า เพื่อจะได้มีสมาธิในการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกเต็มที่ อย่างไรก็ตาม คล็อปป์ ไม่ใช่คนแบบนั้น เขามีความเชื่อมั่นในตัวลูกทีม และพร้อมที่จะกระตุ้นนักเตะในการสู้อย่างเต็มที่สำหรับการลุ้นแชมป์ทั้งสองรายการ 

    ลิเวอร์พูล จบฤดูกาลที่ผ่านมาแบบไม่มีแชมป์ติดมือ และนี่จะเป็นอีกปีหรือไม่ที่พวกเขาจะไม่ได้แชมป์ลีก ซึ่งแน่นอนว่ามันคงเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดมากๆ เพราะฤดูกาลนี้พวกเขามีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ กระนั้นการทุ่มเทให้กับทั้ง 2 รายการสำคัญนี้ก็เปรียบเสมือนความท้าทายที่ คล็อปป์ แอนด์โค. ต้องผ่านไปให้ได้

    สำหรับตอนนี้ "หงส์แดง" ได้ทะลุเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายร่วมกับ แมนฯ ซิตี้, แมนฯ ยูไนเต็ด และ สเปอร์ส ตามด้วย ยูเวนตุส, บาร์เซโลน่า, อาแจ็กซ์ รวมทั้ง ปอร์โต้ แน่นอนว่าด้วยขุมกำลัง และฟอร์มการเล่นในฤดูกาลนี้ของ ลิเวอร์พูล  ดีกว่าเมื่อซีซั่น 2017-18 และมีสิทธิ์ที่จะลบล้างความเจ็บปวดนัดชิง แชมเปี้ยนส์ ลีก ในกรุงเคียฟ

SHARE ON