เป็นที่เข้าใจกันดีว่าทำไม คล็อปป์ ถึงได้ใจสาวก "เดอะ ค็อป" ทั่วโลก เพราะเขาสร้างทีมได้อย่างน่าเหลือเชื่อ, มีสไตล์การเล่นที่ดุดัน, มีเสน่ห์, พร้อมกอดลูกทีมเสมอ, แรงปรารถนาเต็มเปี่ยม และพร้อมทุ่มเทเพื่อทีมเสมอ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นรากฐานที่แท้จริงของฟุตบอล
อย่างไรก็ตามหากเกิดความพ่ายแพ้ที่ว่านต๋า เมโทรโปลิตาโน่ สนามเหย้าของ "ตราหมี" แอตเลติโก มาดริด นั่นจะเป็นอีก 1 ฤดูกาลที่ คล็อปป์ กุมบังเหียน ลิเวอร์พูล พร้อมกับปราศจากความสำเร็จ ที่สำคัญหากแพ้ในกรุงมาดริด ก็จะกลายเป็สถิติของเจ้าตัวที่แพ้นัดชิงชนะเลิศ ฟุตบอลถ้วย จากการเข้าชิง 7 ครั้งหลังสุด
ลองคิดดูนะ การแพ้ในรอบชิง 1 ครั้งยังพอเข้าใจได้, 2 ครั้งถือว่าโชคร้าย แต่ถ้า 7 ครั้งล่ะ ? มันหมายความว่ายังไง ???
แน่นอนว่าทีมชุดนี้ของ คล็อปป์ สามารถประสบความสำเร็จได้สบายๆ แต่ความจริงที่แสนเจ็บปวดก็คือ คล็อปป์ มักจะพบกับความพ่ายแพ้เสมอ ฉะนั้นนี่เป็นเหตุผลที่หลายๆ คนมองว่าในเกมนัดชิงชนะเลิศ ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก วันเสาร์ที่ 1 มิถุนายนนี้ กุนซือเลือดด๊อยท์ช ต้องแบกรับแรงกดดันมหาศาล
เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ผู้จัดการทีมท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ได้รับความยกย่องเชิดชูเหมือนๆ กับ คล็อปป์ แม้ว่าเขายังไม่เคยได้สัมผัสแชมป์อะไรเลยในฐานะผู้จัดการทีม ที่สำคัญ "พอช" สร้าง "ไก่เดือยทอง" ชุดนี้ โดยที่ไม่ได้ซื้อผู้เล่นใหม่เข้ามาร่วมทีมในช่วงตลอดซื้อขายนักเตะ 2 ช่วงเวลาเมื่อซีซั่นที่ผ่านมา
ในส่วนของขุมกำลังของ สเปอร์ส แน่นอนว่า 11 ผู้เล่นตัวจริงเป็นเรื่องยากมากที่จะคาดเดา แต่ที่แน่ๆ คริสเตียน อีริคเซ่น คงได้ลงเกมนี้ ส่วน แฮร์รี่ เคน ยังไม่ชัวร์เท่าไหร่ แต่กระนั้นก็คงต้องเจองานสุดหินในการเจาะเข้าไปทำประตู "หงส์แดง"
หากมองกันตามหน้าเสื่อที่บรรดาสื่อและบริษัทรับพนันถูกกฎหมายหลายสำนัก ยกให้ ลิเวอร์พูล เป็นทีมเต็ง นั่นไม่ใช่เรื่องแปลกเนื่องจากผลงานสุดยอดในพรีเมียร์ลีก โดยพวกเขาได้รองแชมป์ตามหลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์เพียงแค่ 1 คะแนน แถมยังมีแต้มทิ้งห่าง สเปอร์ส ถึง 26 แต้ม แต่แน่นอนว่าการเป็นทีมเต็งย่อมส่งผมทำให้ คล็อปป์ ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันมากเข้าไปอีก
นับตั้งแต่จบฤดูกาล 2015-16 โดยที่ไม่มีอะไรติดไม้ติดมือ จนถึงตอนนี้ก็ปาเข้าไป 3 ฤดูกาลแล้วที่ คล็อปป์ ทำงานกับ ลิเวอร์พูล และก็ไม่มีโทรฟี่แชมป์เลย โดยในเวลาเดียว เชลซี คว้าแชมป์รายการใหญ่ไปแล้ว 3 รายการ ขณะที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ได้ 3 รายการ ส่วน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มากกว่า "สิงห์บูลส์" กับ "ปีศาจแดง" ถึง 2 เท่า
การเก็บได้ 97 คะแนนในตารางลีกเมืองผู้ดีทำให้ ลิเวอร์พูล ได้ไล่บี้เบียดกับ "เรือใบสีฟ้า" อย่างเมามัน นอกจากผลงานพลิกนรกปราบ บาร์เซโลน่า ยิ่งทำให้เกิดความทรงจำที่แสนมีความสุขสำหรับค่ำคืนที่แอนฟิลด์ แต่สุดท้ายแล้วทีมก็ไม่ได้สัมผัสความสำเร็จ มีเพียงแค่การสร้างประวัติศาสตร์คว้ารองแชมป์ที่ดีที่สุดในลีกเท่านั้น
สำหรับฤดูกาล 2018-19 ในเกมพรีเมียร์ลีก ดูเหมือนจะมีสัญญาณที่ดีมากๆ สำหรับ "หงส์แดง" แม้สุดท้าย แมนฯ ซิตี้ จะประสบการณ์ป้องกันแชมป์ลีกได้ แถมยังทำทริปเบิ้ลแชมป์เมื่อคว้าแชมป์ทุกรายการในอังกฤษเรียบวุธ
อย่างไรก็ตามการได้เห็นนักเตะ "เดอะ เร้ดส์" เดินไปรอบๆ สนามแอนฟิลด์ในแมตช์สุดท้ายของเกมลีก หลังจากมีการยืนยันผลการแข่งขันที่ไบรท์ตัน ซึ่ง แมนฯ ซิตี้ ชนะแบบถล่มทลาย ทุกๆ คนคงเห็นสภาพจิตใจที่โดนทำลายซึ่งอาจจะยังอยู่เนื่องจากความล้มเหลวที่พลาดแชมป์ลีกที่รอคอยถึง 3 ทศวรรษ ทั้งๆ ที่แพ้เกมลีกแค่แมตช์เดียวเท่านั้น
ส่วนในศึกชิงถ้วย "หูกาง" คล็อปป์ อาจใช้ประสบการณ์ที่แพ้ในนัดชิงที่กรุงเคียฟปีที่ผ่านมาให้เป็นประโยชน์ แต่กระนั้นการแพ้ "ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริด ก็ยังคงเป็นความทรงจำที่แสนเจ็บปวด และสิ่งนี้อาจจะมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของบรรดาแข้ง "หงส์แดง" ก็ได้
คล็อปป์ เป็นผู้จัดการทีมที่สุดยอดสำหรับสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล เป็นคนที่มีอิทธิพลกับสโมสร, เมือง, สังคม, ประวัติศาสตร์ และแฟนบอล แต่อย่าลืมว่า 3 ปีครึ่งกับการทำหน้าที่นายใหญ่ที่แอนฟิลด์ เขายังไม่เคยได้แชมป์แม้แต่รายการเดียวเลย
การคว้าแชมป์ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แม้พวกเขามีสิทธิ์พลิกล็อกโดนทีเด็ดของ สเปอร์ส ก็ได้ แต่แน่นนอนว่าเป็นเรื่องยากมากๆ ที่จะพบสาวก "เดอะ ค็อป" ตั้งข้อสงสัยในตัวคล็อปป์ ทั้งแฟนบอลชาย, หญิง และเด็กๆ พวกเขาอยากที่จะเห็นเขาสร้างอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่นี่
หลายครั้งที่ คล็อปป์ ซึ่งนำโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ คว้าแชมป์บุนเดสลีกา เยอรมนี 2 สมัย ถูกมองว่ามีอะไรที่คล้ายๆ กับ บิลล์ แชงค์ลี่ย์ มหาบุรุษผู้วางรากฐานความยิ่งใหญ่ให้กับลิเวอร์พูล โดย "บิ๊กบิลล์" เริ่มต้นนำทีมตั้งแต่ยังไม่มีอะไรเลย เพราะ "เดอะ เร้ดส์" ยังอยู่ในระดับดิวิชั่น 2 (ปัจจุบันคือ เดอะ แชมเปี้ยนชิพ) ตอนที่เขาเข้ามากุมบังเหียนในปี 1959 และไม่ได้แชมป์อะไรเลยจนกระทั่งฤดูกาล 1963-64 เขานำทีมคว้าแชมป์แรกจากแชมป์ 6 รายการใหญ่
นับตั้งแต่นั้น แชงค์ลี่ย์ ได้ทำให้วงการลูกหนังน่าสนุกตื่นเต้นทั้งจากสไตล์การสร้างทีมที่เล่นสนุกเร้าใจ และแคแรกเตอร์ส่วนตัวที่มีเสน่ห์ โดย คล็อปป์ ก็เป็นแบบนั้น
ไม่ว่าจบเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่เมืองหลวง ประเทศสเปน จะมีผลออกมาเป็นยังไง สำหรับตอนนี้ในวงการลูกหนังโลก คล็อปป์ ได้สร้างนิยามในหน้าประวัติศาสตร์ฟุตบอลเอาไว้แล้ว และทุกๆ คนโดยเฉพาะสาวก "เดอะ ค็อป" ไม่มีวันลืมแน่นอน