ผลบอลออนไลน์ 24 ชม. อัพเดตตลอด สกู๊ปบอล

ลิเวอร์พูล ยังคงโชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรงในเกมเยือน ปอร์โต้ ด้วยการจัดหนักจัดเต็มคว้าชัยชนะ 4-1 ที่เอสตาดิโอ โด ดราเกา ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ นัด 2 เมื่อวันพุธที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา ส่งผลให้สกอร์รวมสองนัด ถล่มไปเบาๆ สบายๆ 6-1

ผ่า 5 ประเด็นร้อน ลิเวอร์พูล โชว์หรูบุกถล่ม ปอร์โต้ ลิ่วแชมเปี้ยนส์ ลีก
arrow_drop_down

ผ่า 5 ประเด็นร้อน ลิเวอร์พูล โชว์หรูบุกถล่ม ปอร์โต้ ลิ่วแชมเปี้ยนส์ ลีก

ลิเวอร์พูล ยังคงโชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรงในเกมเยือน ปอร์โต้ ด้วยการจัดหนักจัดเต็มคว้าชัยชนะ 4-1 ที่เอสตาดิโอ โด ดราเกา ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ นัด 2 เมื่อวันพุธที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา ส่งผลให้สกอร์รวมสองนัด ถล่มไปเบาๆ สบายๆ 6-1

   เกมนี้ "หงส์แดง" ค่อนข้างจะมาเล่นแบบไม่เกร่งเพราะทีมได้เปรียบจากสกอร์ 2-0 ในนัดแรก และ เจอร์เก้น คล็อปป์ มีการปรับเปลี่ยนตัวผู้เล่นด้วยการดร็อป โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, นาบี เกอิต้า และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน โดยให้โอกาส ดิว็อค โอริก้า ทำหน้าที่เป็นหัวหอก ส่วน จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม กับ เจมส์ มิลเนอร์ คอยคุมแดนกลางร่วมกับ ฟาบินโญ่

แม้ว่าเจ้าบ้านพยายามไล่กดดันตั้งแต่เสียงนกหวีดดังขึ้นก็ตาม แต่ ลิเวอร์พูล สามารถป้องกันเอาไว้ได้หมด โดยจุดเปลี่ยนเกิดขึ้นในนาทีที่ 24 จากประตูของ ซาดิโอ มาเน่ ซึ่งต้องอาศัย "วีเออาร์" ในการตัดสิน เนื่องจากตอนแรกไลน์แมนยกธงล้ำหน้า แต่เมื่อมีการเช็คจากเทคโนโลยีผู้ช่วยผู้ตัดสิน ก็มีการเป่าให้เป็นประตูขึ้นนำ

    ส่วนครึ่งหลังเมื่อ คล็อปป์ ตัดสินใจปรับเปลี่ยนแท็กติดด้วยการถอด โอริกี้ ออกและส่ง ฟีร์มีโน่ ลงมาแทน เช่นเดียวกับการเปลี่ยน แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ออกโดยส่ง "เฮนโด้" ลงสนาม ซึ่งทั้งสองคนนี้มีส่วนในการสร้างสรรค์เกม และนำไปสู่ 3 ประตูที่เกิดขึ้นในครึ่งหลัง
    
1. เปลี่ยนแท็กติคพิชิตชัย

    คล็อปป์ เปลี่ยนแผนการเล่นในช่วงพักครึ่งเมื่อตัดสินใจส่ง โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ลงสนามแทน ดิว็อค โอริกี้ ที่อุตสาห์ได้รับโอกาสลงเล่นตัวจริงในเกมเยือน ปอร์โต้ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถทำอะไรแนวรับเจ้าบ้านได้เลยในช่วงครึ่งเวลาแรก

    หลังจาก สตาร์ชาวบราซิเลียน ลงสนาม "เดอะ เร้ดส์" มีความเฉียบคมในการเล่นมากขึ้น จังหวะการสร้างเกมก็ดีขึ้น โดยเฉพาะคุณภาพในการเข้าทำบริเวณพื้นที่สุดท้ายก็น่ากลัวมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ฉะนั้นนี่คือความแตกต่างของระดับชั้นระหว่าง ฟีร์มีโน่ กับ โอริกี้ ที่สำคัญการปรับแท็กติคทำให้ ลิเวอร์พูล เล่นได้เหนือกว่า ปอร์โต้ ในช่วง 45 นาทีหลัง

ฟีร์มีโน่ ถูกจับให้เล่นในตำแหน่งหน้าต่ำ โดย ซาลาห์ มีอิสระในการขึ้นไปเล่นอยู่หน้าเขา ที่สำคัญ "บังโม" ยังมักจะคอยทำหน้าที่เชื่อมเกมแดนกลาง และทะลุเข้าไปบริเวณกรอบเขตโทษเจ้าบ้านได้ตลอด นอกจากนี้ "บ็อบบี้" ยังมีอิทธิพลต่อการเล่นของทีมนับตั้งแต่ที่ลงสนาม และสมควรที่จะมีชื่อเป็นผู้ทำประตูในเกมนี้
    
2. "วีเออาร์" เป็นพระเอกในเกมนี้

    แฟนบอลต้องยอมรับว่าเทคโนโลยีนี้ช่วยให้เกมมีความบริสุทธิ์ยุติธรรมมากยิ่งขึ้น เพราะ "วีเออาร์" มีส่วนต่อจังหวะสำคัญๆ มากมายในการแข่งขันถ้วยใบโตยุโรปฤดูกาลนี้ ที่เห็นได้ชัดก็คือเกมนัด 2 ระหว่าง แมนฯ ยูไนเต็ด กับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง 

    สำหรับแมตช์นี้ ลิเวอร์พูล ก็ได้ประโยชน์จากเทคโนโลยีผู้ช่วยผู้ตัดสิน ในจังหวะที่ได้ประตูแรก เมื่อ มาเน่ พุ่งเข้าชาร์จช่วยให้ทีมได้ประตูนำ แต่ผู้ช่วยผู้ตัดสินยกธงล้ำหน้า อย่างไรก็ตาม ดานนี่ มัคเคลี่ เชิ้ตดำกลางสนามขอฟังทีมงาน "วีเออาร์" ก่อนจะกลับคำตัดสินให้ "หงส์แดง" ได้ประตู

แน่นอนว่า "วีเออาร์" สามารถเปลี่ยนคำตัดสินที่ก่ำกึ่งให้เป็นถูกต้องที่สุด ฉะนั้นก็ต้องมีทั้งผู้ที่ได้รับประโยชน์ และเสียผลประโยชน์ แต่หากมองในเรื่องของความถูกต้อง แน่นอนว่าเทคโนโลยีนี้ ทำให้การแข่งขันมีความขาวสะอาดมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า 

3. มาเน่แรงไม่หยุด

   ตอนนี้สาวก "เดอะ ค็อป" ยอมรับเป็นเสียงเดียวกันว่า ซาดิโอ มาเน่ คือนักเตะสำคัญของทีมไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า "โม ซาลาห์" และ ฟีร์มีโน่ โดยเกมนี้ก็เป็นอีกแมตช์ที่เจ้าตัวทำผลงานได้อย่างโดดเด่น และไม่ทำให้แฟนบอลต้องผิดหวังเมื่อเขาช่วยทีมทำประตูแรกได้สำเร็จ

    ประตูในเกมกับ ปอร์โต้ ทำให้เขายิงประตูทุกรอบในเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 ฤดูกาลที่ผ่านมา พร้อมกับยิงประตูในเกมเยือน 2 รอบในเกมถ้วยใบโตยุโรปซีซั่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นประตูขึ้นนำ 8 จาก 10 เกมหลังสุของ "เดอะ เร้ดส์" มาเน่ มักจะยิงประตูเบิกร่อง

ทีเด็ดของ มาเน่ ไม่ใช่แค่เรื่องคุณภาพในการเล่น แต่ยังรวมถึงการเล่นไว้วางใจได้ และมีความสามารถในการรับมือกับช่วงเวลาสำคัญ ตอนนี้ ดาวเตะเซเนกัล ขึ้นไปรั้งดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของ ลิเวอร์พูล ในแชมเปี้ยนส์ ลีก/ยูโรเปี้ยน คัพ เท่ากับ เอียน รัช จำนวน 14 ประตู เป็นลองแค่ สตีเว่น เจอร์ราร์ด (30 ประตู) เท่านั้น 
 
4. กองกลางอ่อนยวบไปหน่อย

    ลิเวอร์พูล มีการเปลี่ยนแผงกองกลาง 2 จาก 3 ตำแหน่งจากเกมลีกที่ทุบ เชลซี เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดย คล็อปป์ เลือกใช้งาน จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม กับ เจมส์ มิลเนอร์ โดยตัดสินใจพัก นาบี เกอิต้า กับ จอร์แดน แฮนเดอร์สัน กัปตันทีมจอมขยัน

    การเลือกส่งสองแข้งลงมาแน่นอนว่าเป็นเรื่องของแท็คติกที่อยากใช้งานผู้เล่นที่ได้พักเต็มที่ แต่กลายเป็นว่าแผงมิดฟิลด์ของ "หงส์แดง" อ่อนยวบ และทำให้ ปอร์โต้ มีโอกาสสร้างเกมได้อย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญการที่เจ้าบ้านเน้นบอลโยนยาว ส่งผล ฟาบินโญ่, ไวจ์นัลดุม และ มิลเนอร์ ต้องวิ่งขึ้นวิ่งลงตลอด นั่นทำให้ 3 กองกลางไม่มีโอกาสได้ประสานงานด้วยกันมากนัก

เกมนี้ ไวจ์นัลดุม กับ มิลเนอร์ แทบจะไม่มีบทบาทมากนักตลอดครึ่งแรก อาจเป็นเพราะแท็คติกของเกมทำให้ทั้งสองคนไม่ได้ค่อยโชว์ศักยภาพมากนัก แต่นั่นก็ส่งผลเสียกับทั้งคู่ เนื่องจาก เกอิต้า กับ "เฮนโด้" กำลังอยู่ในช่วงฟอร์มเข้าฝัก โดยเฉพาะกัปตัน "หงส์แดง" ที่ถูกเปลี่ยนตัวลงเล่นในครึ่งหลัก และโชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอด ดังนั้นทั้งคู่น่าจะได้โอกาสลงตัวจริงในเกมลีกนัดต่อไป

5. โอริกี้ มีโอกาสดีแต่ฉกฉวยไม่ได้

    ดิว็อค โอริกี้ ได้รับโอกาสทองฝังเพชรจาก คล็อปป์ ที่ส่งรายชื่อเขาลงสนามในฐานะ 11 ตัวจริงในการเยือน ปอร์โต้ แต่เขาไม่สามารถนำโอกาสนี้เปลี่ยนเป็นความไว้วางใจจาก นายใหญ่ชาวเยอรมัน เนื่องจากผลงานตลอด 45 นาทีแรกไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันซักอย่าง

    ดาวเตะชาวเบลเยียม ไม่สามารถสร้างความปั่นป่วนเกมรับของ ปอร์โต้ ได้เลย แถมยังดูเหมือนจะเป็นภาระของทีมอีกต่างหาก นั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะโดน คล็อปป์ ถอดออกในช่วงพักครึ่ง และส่ง ฟีร์มีโน่ ลงสนามซึ่งเกมเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือพอดี

สตาร์บราซิเลียน ป่วนเกมรับของเจ้าบ้านได้ตลอด และยังช่วงสร้างเกมรุกให้กับ "เดอะ เร้ดส์" น่ากลัวยิ่งขึ้น ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ ลิเวอร์พูล จะมาบวกประตูเพิ่มอีก 3 ประตูในครึ่งหลัง และสามประสาน "หิน เหล็ก ไฟ" (เอสเอ็มเอฟ) ซัดคนละประตูซะด้วย

 

 

 

 

 

 

SHARE ON