ผลบอลออนไลน์ 24 ชม. อัพเดตตลอด สกู๊ปบอล

แว็งซ็องต์ ก็องปานี ปราการหลังจอมเก๋าแสดงให้โลกได้เห็นแล้วว่าเขายังคงเป็นนักเตะสำคัญของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อสวมบทซูเปอร์ฮีโร่ ตะบันประตูสุดสวยระยะกว่า 30 หลาบอลเข้าประตู และเป็นลูกยิงสำคัญที่ทำให้ทีมชนะ เลสเตอร์ ซิตี้ 1-0 ที่เอติฮัด สเตเดี้ยม เกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ นัดรองสุดท้าย เมื่อวันจันทร์ที่ 6 พฤษภาคมที่ผ่านมา

กัปตันมาร์เวลกู้โลก ! ผ่า 5 ประเด็นเด็ด แมนซิตี้ ไล่บดขยี้ เลสเตอร์
arrow_drop_down

กัปตันมาร์เวลกู้โลก ! ผ่า 5 ประเด็นเด็ด แมนซิตี้ ไล่บดขยี้ เลสเตอร์

แว็งซ็องต์ ก็องปานี ปราการหลังจอมเก๋าแสดงให้โลกได้เห็นแล้วว่าเขายังคงเป็นนักเตะสำคัญของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อสวมบทซูเปอร์ฮีโร่ ตะบันประตูสุดสวยระยะกว่า 30 หลาบอลเข้าประตู และเป็นลูกยิงสำคัญที่ทำให้ทีมชนะ เลสเตอร์ ซิตี้ 1-0 ที่เอติฮัด สเตเดี้ยม เกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ นัดรองสุดท้าย เมื่อวันจันทร์ที่ 6 พฤษภาคมที่ผ่านมา

   ทัพ "สุนัขจิ้งจอก" เล่นได้ดีพอสมควรเมื่อสามารถจัดการเกมบุกของเจ้าบ้านได้อย่างยอดเยี่ยม และมีโอกาสสวนกลับจนทำให้เกมรับ "เรือใบสีฟ้า" ต้องหวาดเสียวหลายครั้ง ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ พยายามเปิดเกมบุกกดดันทีมเยือนอย่างหนัก แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่สามารถส่งบอลซุกก้นตาข่าย

    ตลอดช่วง 70 นาที แมนฯ ซิตี้ บุกขึ้นมาสร้างความหวาดเสียวได้ตลอดแต่กองหน้ากับกองกลางไม่สามารถส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่าย สุดท้ายต้องพึ่งกองหลังแถมเป็นแนวรับจอมเก๋าที่ขันอาสายิงไกลสุดงามนำต้นสังกัดคว้า 3 คะแนนสำคัญ ส่งพวกเขาขึ้นแท่นจ่อป้องกันแชมป์ลีกในซีซั่นนี้

 

1. เดอะ ฟ็อกส์ เล่นดีไม่มีประตู
    เกมรับของเลสเตอร์ ซิตี้ เล่นด้วยความแข็งแกร่งและทำให้เกมรุก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต้องเจอกับความยากลำบากในการพยายามเจาะประตู

    ทัพ "สุนัขจิ้งจอก" พยายามวิ่งไล่บอลตลอดจนทำให้ "เรือใบสีฟ้า" ต้องเจอกับสถานการณ์สุดหินในการที่จะพลิกตัวเพื่อเข้าไปในกรอบเขตโทษ โดยงานนี้ เบรนแดน ร็อดเจอร์ ผู้จัดการทีม ได้เน้นย้ำลูกทีมอย่างชัดเจนให้มีสมาธิในเกมรับ เพราะรู้ว่าทีมต้องดวลกับสโมสรที่ได้ชื่อว่ามีเกมรุกที่ดีที่สุดในลีกเมืองผู้ดี

    จะว่าไปแล้ว เลสเตอร์ ก็ไม่ใช่เอาแต่ตั้งรับอย่างเดียว เพราะพวกเขามีโอกาสที่จะส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายอย่างน้อยก็ 2 ครั้งที่น่าจะเป็นประตูจากจังหวะการยิงของ เจมส์ แมดดิสัน ที่ถากเสาไปแค่ไม่กี่เซนติเมตร ส่วนจังหวะของ เคเลชี่ อิเฮียนาโช่ ที่ยืนโล่งๆ แต่ดันซัดออกทะเล นี่ถ้าเป็น เจมี่ วาร์ดี้ บอลน่าจะเข้าไปนอนอยู่ในตาข่ายแล้ว

    อย่างไรก็ตาม แมนฯ ซิตี้ เป็นทีมที่เล่นเกมบุกได้ทุกตำแหน่ง ในช่วงที่กองหน้า และกองกลางไม่สามารถทำลายทำนบที่แข็งแกร่งของคู่แข่งได้ ก็ยังมีกองหลังที่พร้อมจะเติมเกม โดยแมตช์นี้ แว็งซ็องต์ ก็องปานี แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาเป็นนักเตะที่มีพลังเท้าโหดขนาดไหนเมื่อซัดไปกว่า 30 หลาบอลเสียบสามเหลี่ยมอย่างงดงาม และทำให้ทีมได้ 3 แต้มที่แสนล้ำค่า

    ดีไม่ดีประตูนี้อาจจะเป็นประตูแห่งฤดูกาลสำหรับสาวก "เรือใบสีฟ้า" ก็ได้

 

2. กัปตันมาร์เวล
    เมื่อยามที่คุณต้องประสบกับความยากลำบาก คุณต้องการให้กัปตันทีมก้าวออกมา และช่วยนำทีมผ่านพ้นสถานการณ์ที่แสนอึดอัดไปให้ได้ ตอนนี้มีกองหลังกัปตันทีมมากมายที่มักจะใช้วิธีการพูดกระตุ้นทีม หรือตะโกนสั่งการเพื่อเดินหน้าเติมเกมบุก และโดยปกติพวกเขาอาจจะช่วยให้ทีมผ่านพ้นวิกฤติจากจังหวะที่ได้ลูกเตะมุม หรือตั้งเตะ

    ในกรณีของ ก็องปานี ก็เคยทำแบบนี้มาก่อน ย้อนไปเมื่อปี 2012 ตอนที่ "เรือใบสีฟ้า" กำลังไล่ล่าแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรก ปราการหลังชาวเบลเยียมเติมเกมขึ้นมาโหม่งให้ต้นสังกัดชนะในเกมแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้แมตช์ ที่เอติฮัด สเตเดี้ยม และสอยแชมป์ลีกไปครอบครอง นั่นถือเป็นประตูสุดคลาสสิคของเขา และในฐานะกัปตันทีม

   ขณะเดียวกันในฤดูกาลนี้มีหลายคนคิดว่า ก็องปานี หมดอนาคตกับทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ไปแล้วเนื่องจากวัยและปัญหาบาดเจ็บรุมเร้า แต่การที่ทีมมีปัญหานักเตะเซนเตอร์แบ็กเจ็บเยอะ ทำให้เจ้าตัวได้รับโอกาสลงเล่น และก็ทำผลงานได้อย่างดีเยี่ยม

    สำหรับในแมตช์นี้ แมนฯ ซิตี้ ตกอยู่ในสถานการณ์กดดัน เพราะสกอร์เสมอ เลสเตอร์ 0-0 หลังเกมผ่านไปราวๆ 70 นาที โดยพวกเขาต้องพยายามที่จะเอาชนะให้ได้เพื่อแซง ลิเวอร์พูล ขึ้นไปเป็นจ่าฝูง และต้องขอบคุณ ก็องปานี กับจังหวะสับไกลระยะกว่า 30 หลาบอลพุ่งเข้าไปประตูชนิดที่ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล พุ่งตัวปัดไม่ถึง นั่นทำให้ตอนนี้"เรือใบสีฟ้า" ถือชะตากรรมแชมป์ลีกเอาไว้ในมือพวกเขาได้อีกครั้ง
 


3. แมนฯ ซิตี้ ไม่มีสะดุด
    การเป็นแชมป์ว่ายากแล้ว แต่การป้องกันแชมป์นั้นยากกว่าหลายเท่า เรื่องนี้พิสูจน์ให้เห็นมาแล้วในช่วงหลายฤดูกาลที่ผ่านมา เพราะนับตั้งแต่ที่ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน นำแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำได้ครั้งสุดท้ายในฤดูกาล 2008–09 (คว้าแชมป์ ซีซั่น 2006–07 กับ 2007–08) ก็ยังไม่มีทีมไหนป้องกันแชมป์ได้เลย

 

    ช่วงที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล ไล่บี้หายใจรดต้นคอ แมนฯ ซิตี้ ตลอด แต่ทีมของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า สามารถแบกรับแรงกดดันเหล่านี้ได้เสมอ และนำทีมผ่านพ้นวิกฤติได้ตลอด โดยสิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดในเรื่องความสุดยอดของ "เรือใบสีฟ้า" ก็คือการที่ทีมคว้าชัยชนะเรียบวุธ 13 แมตช์ในเกมลีก

   ดังนั้นในเกมสุดท้ายวันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคมนี้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่ต้องไปมอง "หงส์แดง" ว่าจะทำผลงานเป็นยังไง เพราะเพียงแค่พวกเขาคว้าชัยชนะซึ่งจะเป็นชัยชนะ 14 เกมรวด แชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2018-19 ก็จะยังคงประดับอยู่ในตู้โชว์ที่สนามเอติฮัด สเตเดี้ยม และเป็นนิมิตหมายที่ดีในการร้างอาถรรพ์เกือบ 10 ปีไม่มีทีมใดป้องกันแชมป์ลีกได้

    ขณะเดียวกันหาก แมนฯ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล เก็บชัยชนะในแมตช์สุดท้ายได้ทั้งคู่ พวกเขาจะมี 98 คะแนน กับ 97 แต้มตามลำดับ นั่นจะทำให้คำว่า "รองแชมป์" ไม่มีใครจดจำต้องเปลี่ยนไปทันที เพราะ "เดอะ เร้ดส์" จะถูกจดจำในฐานะทีมรองแชมป์ที่ได้คะแนนมากกว่า 90 แต้มซึ่งไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ
 


4. เครื่องบดขยี้
    แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นทีมที่ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีก เรื่องนี้จะจริงหรือเท็จก็ต้องดูว่าพวกเขาได้แชมป์ลีกหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ "เรือใบสีฟ้า" เป็นทีมที่ครองบอลไล่กดดัน และเล่นได้อย่างสุดยอด พร้อมกับบดขยี้คู่แข่งจนกระทั่งเป๋ไปเป๋มาและได้ประตูในที่สุด

    พวกเขาโชว์ให้เห็นถึงสไตล์การเล่นที่สุดยอด ควบคุมสถานการณ์ทุกอย่างในเกมนี้ และพยายามไล่บดแนวรับ เลสเตอร์ ซิตี้ เพื่อที่จะเบิกแผลแรกให้ได้ ขณะเดียวกันในส่วนของเกมรับ แมนฯ ซิตี้ ก็ถือว่าเล่นได้เหนียวแน่น ดูได้จากช่วงโค้งสุดท้ายที่ชนะ สเปอร์ส 1-0, ชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด 2-0, ชนะ เบิร์นลี่ย์ 1-0 และล่าสุดสอย เลสเตอร์ 1-0

   หลายคนอาจจะมองว่าสกอร์ช่างดูเฉียดฉิวเหลือเกิน (ยกเว้นเกมกับ แมนฯ ยูฯ) แต่ตลอด 90 นาที แมนฯ ซิตี้ ครองเกมบุกได้ตลอด และหากทีมคู่แข่งมีโอกาสได้บุกเข้ามากดดันแนวรับของทีมก็โชว์ความแข็งแกร่งได้เช่นเดียวกัน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่พวกเขารักษาคลีนชีตในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ได้

    ฉะนั้นไม่มีใครต้องสงสัยเกี่ยวกับเรื่องคุณภาพของพวกเขา แต่ตอนนี้ไม่ใช่แค่คุณภาพเท่านั้นเพราะลูกทีมของ "เป๊ป" ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความรอบรู้เกี่ยวกับวิธีที่จะเอาชนะคู่แข่ง และสภาพจิตใจที่แข็งแกร่งไม่เคยท้อถอยในการยิงประตู

 

5. ซาเน่ เล่นไม่ออก
    ในช่วง 10 นาทีแรกของครึ่งหลัง กวาร์ดิโอล่า พยายามที่จะหาวิธีเจาะเกมรับของ เลสเตอร์ ให้ได้ เพราะสถานการณ์ของทีมยังไม่ค่อยดีนักเมื่อสกอร์เสมอกันอยู่ 0-0 ทำให้เขาเลือกส่ง เลรอย ซาเน่ ลงสนามเพื่อหวังใช้ความปราดเปรียวของเจ้าตัวทะลุทะลวงเข้าไปทำประตูให้ทีม ซึ่งเป็นแผนที่คล้ายๆ กับตอนที่ทีมบุกทุบ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

   อย่างไรก็ตาม ซาเน่ กลับไม่สามารถสร้างความหวือหวาให้กับต้นสังกัดได้ เพราะโดนเกมรับของ เลสเตอร์ จัดการอยู่หมัด แถมในช่วงท้ายเกมนักเตะยังเล่นเหมือนกับเสียสมาธิทำให้จับบอลพลาด จนถึงขนาด เป๊ป ต้องเรียกเข้ามาเฉ่งยับบริเวณริมเส้นสนาม

    สำหรับในเวลานี้เริ่มมีคำถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของ ปีกทีมชาติเยอรมนี วัย 23 ปี ว่าเขาจะมีอนาคตอยู่ในถิ่นเอติฮัด สเตเดี้ยม ต่อไปหรือไม่ เพราะในเวลานี้ความสัมพันธ์ระหว่างนักเตะ กับนายใหญ่ชาวสแปนิช ไม่ค่อยราบรื่น แถมบ่อยครั้งยังโดนจับเป็นตัวสำรอง นี่อาจจะเป็นจุดแตกหักระหว่างทั้งสองคน

 

 

 

SHARE ON